0000462

เรื่องเล่าของลุงแป๊ะ : ตอน "สอนปลาหัวขโมย"

ลุงแป๊ะ เป็นชายวัยใกล้ 60 ปี มีอาชีพหาปลาขายมาตั้งแต่เป็นเด็ก ลุงแป๊ะเป็นเซียนหาปลาตัวยง หาตัวจับได้ยาก แกชอบดักลอบเป็นชีวิตจิตใจ ลอบดักปลาของแกจะมีขนาดใหญ่มาก ใหญ่กว่าของคนอื่นเป็น 2 เท่า แกจะดักเอาแต่ปลาใหญ่ ปลาตัวเล็ก ๆ แกจะไม่เอา แกบอกว่า “ เอาไว้ให้มันทำพืชทำพันธุ์บ้าง เดี๋ยวลูกหลานมันจะไม่มีดู”


ตี 2 ของทุก ๆ วันแกจะต้องลงไปกู้ลอบเป็นประจำทุกวัน แต่วันนี้แกยังไม่ได้ปลาสักตัว แกลงลอบไว้ประมาณ 50 ลูก เมื่อไม่ได้ปลาก็ชักจะเหนื่อย ( คือยกลอบเหนื่อย ) แล้วแกต้องพายเรือเป็นระยะทางค่อนข้างไกล (สำหรับคนหาปลา ถ้าได้ปลาจะไม่รู้สึกว่าเหนื่อยเพราะยิ่งได้ยิ่งมันส์) กู้ลอบพอใกล้จะถึงลูกสุดท้ายลอบที่แกดักปลาอยู่จมลงไปในน้ำ ลุงแป๊ะเริ่มมีความหวังด้วยประสบการณ์ของแกแสดงว่าต้องมีปลาใหญ่ติดลอบแน่ แกจึงค่อยๆ พายเรืออย่างเงียบๆ เพื่อไม่ให้ปลาตกใจแล้วค่อย ๆ จับหัวลอบแล้วยกขึ้นเรือ แต่ลอบที่แกยกขึ้นมากลับมีสภาพพังเละเทะ บี้แบนไปหมด ในลอบมีปลากดคังตัวใหญ่ประมาณ 3-4 กิโลอยู่ถ้าไปขายตลาดก็จะได้สตางค์หลายบาทอยู่ แต่เจ้าปลาตัวนั้นกลับโดนกัดเละไปหมดทั้งตัว หัวบี้ยังกับใครเอาค้อนไปทุบ ลุงแป๊ะเห็นแล้วโมโหมาก เพราะจากสภาพปลา แม่ค้าคงไม่รับซื้อแน่นอน วันนั้นแกเลยไม่ได้ปลาสักตัว


วันรุ่งขึ้นแกนำลอบลูกใหม่ไปลงไว้แทนลูกเดิม แต่ก็ยังไม่มีปลามาติด เวลาผ่านไปอีกสามวัน ลอบลูกเดิมก็มีปลามาติดเป็นปลากดคังเหมือนเดิม สภาพลอบและปลาก็เหมือนเดิมคือเละไปหมดขายไม่ได้ ลุงแป๊ะได้แต่เก็บความแค้นไว้ในใจ แกพายเรือกลับขึ้นท่าพอถึงบ้าน แกไปหาเบ็ดตัวใหญ่ที่สุดในบ้านที่แกมี แล้วจัดการผูกเบ็ดด้วยเชือกเส้นใหญ่ แล้วยังนำเชือกเส้นเท่านิ้วชี้ติดไปด้วยอีก 1 ม้วน การกระทำของลุงแป๊ะอยู่ในสายตาของป้าม๊อกผู้เป็นเมียของแกตลอดเวลา ป้าม๊อกเห็นการกระทำของลุงแป๊ะแล้วสงสัย จึงถามลุงแป๊ะไปว่า “ ตาแป๊ะ แกจะเอาเบ็ดตัวใหญ่ไปลงปลาอะไร” “ ก็จะเอาไปจับขโมยที่มันกัดปลาข้าเละน่ะสิ ” ลุงแป๊ะตอบคำถามของเมีย ด้วยน้ำเสียงที่ยังมีโมโหอยู่ เสร็จแล้วแกก็เดินไปเอาถังแกลลอน 25 ลิตร ที่วางอยู่ใต้ถุนบ้านมา 2 ลูก แล้วเดินลงแม่น้ำไป พอถึงท่าที่จอดเรือแกมีกระชังขังปลาอยู่ แกได้ตักปลากดคังตัวเท่าข้อมือใส่เรือไปด้วย แกพายเรือไปยังบริเวณที่ลอบพัง แล้วใช้เชือกมัดกับหินที่มีอยู่ในท้องเรือ ผูกกับเบ็ดแล้วเอาเบ็ดเกี่ยวปลากด หย่อนลงไปในน้ำจนถึงพื้นดินใต้แม่น้ำ แล้วนำปลายเชือกอีกด้านหนึ่งมาผูกกับถังแกลลอน ให้ถังแกลลอนลอยอยู่เหนือน้ำ เสร็จแล้วแกก็พายเรือกลับมาบ้าน

เช้ามืดวันรุ่งขึ้น ลุงแป๊ะก็ลงไปกู้ลอบตามปกติ วันนี้แกได้ปลาใหญ่ ๆ มาหลายตัวทำให้แกลืมความโมโหเมื่อวานไป ขณะที่แกพายเรืออยู่เพลิน ๆ นั้น มีเสียงตะโกนเรียกชื่อแกดังมาจากทางต้นน้ำ ลุงแป๊ะจำเสียงได้ว่าเป็นเสียงของลุงเติม พี่ชายของลุงแป๊ะที่หาปลาอยู่เหนือขึ้นไปจากลุงแป๊ะนั่นเอง


“มีอะไรหรอพี่เติม” ลุงแป๊ะร้องถามขณะที่ลุงเติมพายเรือเข้ามาหา “เฮ๊ย แป๊ะไม่รู้ อะไรมันลากถังแกลลอนขึ้นไปทางเหนือว่ะ” ลุงเติมร้องบอกลุงแป๊ะด้วยท่าทางที่ตื่นตกใจ ลุงแป๊ะมองหน้าลุงเติมแล้วนึกอยู่สักครู่ แล้วจึงยิ้มออกมา “ ไปพี่เติมไปช่วยข้าสั่งสอนขโมยหน่อย ” ลุงเติมทำหน้างง ๆ แล้วก็พยักหน้าอย่างรู้ใจน้องชาย ลุงเติมรู้แล้วว่าขโมยในที่นี้หมายถึงอะไร ทั้งสองรีบพายเรือขึ้นน้ำไปยังถังแกลลอนด้วยความรีบเร่ง สักพักก็เห็นถังแกลลอนลอยอยู่กลางแม่น้ำ ลุงแป๊ะกับลุงเติมพายเรือตรงไปที่ถังแกลลอนทันที แล้วทั้งสองก็ช่วยกันจับเชือกที่ผูกติดกับถังแกลลอน ลุงแป๊ะหันไปพูดกับลุงเติมว่า “ พี่เติมจับเชือกให้แน่น ๆ นะ แล้วนั่งเรือดี ๆ ด้วย” ลุงเติมทำตามคำสั่งที่น้องชายบอกใช้มือจับเชือกข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งจับขอบเรือไว้แน่น “พี่เติมเรามาเล่นสกีกันสักพักหนึ่งนะ” ลุงเติมพยักหน้า “ เออเอาไงก็เอากันแต่อย่านานนักนะกูแก่แล้ว” พอสิ้นสุดคำพูดทั้งสองพี่น้องก็ดึงเชือกพร้อม ๆ กันพอดึงเชือกแรงขึ้น ขโมยที่กินเบ็ดที่เกี่ยวปลากดอยู่ใต้น้ำก็ขัดขืนไม่ยอมให้เห็นตัวง่าย ๆ มันลากเรือทั้งสองลำวิ่งขึ้นสวนน้ำไปอย่างรวดเร็ว “เฮ๊ย ๆ ช้า ๆ หน่อย” ลุงเติมร้องบอกขโมย แต่ส่วนลุงแป๊ะนั่งยิ้มอย่างอารมณ์ดี พอลากเรือทั้งสองลำไปได้สัก 1 กิโลเมตร มันก็เริ่มลากช้าลงแล้วก็หยุดทั้งสองมองหน้ากัน “สงสัยมันหมดแรงแล้วพี่เติม” ลุงแป๊ะออกความเห็น แล้วทั้งสองก็ช่วยกันดึงเชือกขึ้นมา แต่มันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด ไอ้หัวขโมยตัวนี้ไม่ยอมขึ้นมาให้เห็นง่าย ๆ มันกลับตัวลากเรือลงมาตามน้ำอีกครั้งหนึ่ง ทั้งสองพี่น้องต้องออกแรงดึงเชือกให้ตึงจับให้แน่นแล้วปล่อยให้มันลากพามาตามน้ำอีกพักใหญ่ ๆ มันจึงหยุด “เฮ๊ย ได้แป๊ะมันเหนื่อยแล้ว แต่กูเหนื่อยกว่ามันอีก กูชักไม่สนุกแล้วนะโว๊ย พอรึยัง” ลุงเติมร้องบอกน้องชายด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยหอบ “เดี๋ยวพี่ขอเอาด้ามพายตีกระบานสั่งสอนมันสักทีเถอะ” ว่าแล้วลุงแป๊ะก็ออกแรงดึงเชือกสุดแรงพร้อมร้องบอกให้พี่ชายช่วยดึงด้วย ทั้งสองช่วยกันดึง “พี่ผมว่าไม่ต่ำกว่า 300 โล” ลุงแป๊ะร้องบอกพี่ชาย ลุงเติมพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งสองช่วยกันดึงเชือกขึ้นมาทีละนิด เจ้าหัวขโมยก็ยังขัดขืนไม่ยอมขึ้นมาให้เห็นตัวง่าย ๆ ดึงกันไปดึงกันมาจนเจ้าหัวขโมยหมดแรงมันจึงค่อย ๆลอยตัวขึ้นมาให้เห็น ลุงแป๊ะยิ้มออกมาอย่างผู้มีชัยชนะ เพราะเจ้าหัวขโมยที่ลอยตัวขึ้นมาให้เห็นเป็นปลาราหูขนาดใหญ่ ตัวขนาดเท่ากระบะรถปิ๊กอัพเห็นจะได้ คาดว่าน้ำหนักคงใกล้ ๆ 300 กิโล ลุงแป๊ะเอามือคว้าด้ามพาย แล้วเคาะไปที่หัวปลาราหูเบา ๆ แล้วพูดกับมันว่า “ทีหลัง อย่ามาลักขย้ำปลาในลอบของกูอีกจำไว้นะ” เสร็จแล้วแกก็หยิบมีดที่หัวเรือมาตัดเชือกให้ขาด แล้วก็ปล่อยมันไป

นี่เป็นเรื่องเล่าจากปากของลุงเติม ซึ่งเป็นพี่ชายของลุงแป๊ะ เล่าให้ผมฟังถึงประสบการณ์จริงที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันทั้งสองก็ยังคงหาปลาอยู่ในแม่น้ำน่าน และปลาที่ส่งลงไปขายที่กรุงเทพฯ บางส่วนก็เป็นฝีมือของลุงทั้งสองคนด้วย ทั้งสองคนถือได้ว่าเป็นที่เคารพนับถือของพวกเราและ เป็นผู้ใหญ่ที่คอยชี้แนะสั่งสอนวิธีการหาปลาแม่น้ำให้กับพวกเรามาตลอด ปลาใหญ่ ๆ ที่ท่านทั้งสองหามาได้ซึ่งบางชนิดใกล้จะสูญพันธุ์ ท่านก็จะปล่อยกลับคืนสู่แม่น้ำ ดังตัวอย่างที่เล่าให้ฟังข้างต้น ทั้ง ๆ ที่ปลาราหูขายได้ตัวละหลายหมื่นท่านก็ปล่อย แถมยังคอยเตือนพวกเราด้วยว่าอย่าเห็นกับเงินมากนักให้เห็นแก่ลูกหลานสำคัญเข้าไว้ก่อน เดี๋ยวรุ่นลูกรุ่นหลานมันจะไม่รู้จักปลาราหูกัน ซึ่งในปัจจุบันปลาราหูในเขต อำเภอชุมแสง ได้ขยายพันธุ์ขึ้นมาก พวกเราพบกันบ่อยมากขึ้น แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำว่ายังมีปลาหลากหลายอยู่ เวลาช่วงหน้าแล้งเราลงเบ็ดปลากระเบน เราจะได้ลูกปลาราหูมากขึ้นกว่าปีก่อน ๆ พอสมควร

โอกาสหน้าถ้ามีเวลา ผมจะนำเรื่องเล่าของสองพี่น้องลุงแป๊ะกับลุงเติมมาเล่าให้ฟังอีก เพราะท่านมีเรื่องเล่าประสบการณ์มากมายหลายเรื่อง ตอนนี้ลุงแป๊ะกำลังเริ่มทำโครงการปล่อยปลากระโห้คืนสู่แม่น้ำอยู่ ซึ่งจะดำเนินการเร็ว ๆ นี้ โดยเลี้ยงลูกปลาให้ใหญ่ในบ่อดิน พอตัวใหญ่ก็จะปล่อยคืนลงสู่แม่น้ำ เพราะปัจจุบันปลากระโห้ในแม่น้ำหายากพอสมควร อ้อ ! ลุงแป๊ะแกเลี้ยงปลาแรดไว้ในบ่อขนาดตัวละ 5 – 6 กิโล วันดีคืนดีแกก็จะอุ้มปลาตัวใหญ่ ๆ ปล่อยลงในแม่น้ำ ในปัจจุบันปลาแรดแถว ๆ ตำบลโคกหม้อมีมากขึ้น ก็ด้วยฝีมือลุงแป๊ะแกนี่แหละ อีกไม่นานเราอาจจะนำปลาแรดขนาด 3 – 6 กิโล ของลุงแป๊ะส่งไปขายให้กับท่านที่สนใจต่อไป

วันนี้ผมขอเล่าเรื่องเพียงแค่นี้ก่อน ไว้ค่อยพบกันใหม่ในโอกาสต่อไปครับผม

ขอขอบคุณ

"กลุ่มคนหาปลาแม่น้ำน่าน"

โดย นาย ป. ปลา