ปลาผมสัญชาติไทย ก็เลี้ยงมันแบบไทยๆนี่แหละครับ
เปลี่ยนน้ำสม่ำเสมอ ไม่ให้ตู้ร้อน นานๆทีก็เติมแร่ธาตุ/วิตามินเสริมบ้าง

การเลี้ยงประคบประหงมมันเกินไป ก็เหมือนเลี้ยงเด็กแบบไม่ให้โดนแดดโดนฝุ่น มันจะไร้ภูมิคุ้มกัน
พอเปลี่ยนน้ำปกติเยอะไป น็อกเอาง่ายๆ

เท่าที่สังเกตุดู ปลาในตู้ที่ผมปูพื้นด้วยประการังเบอร์00 มันจะดูคึกคัก Heat มากกว่าตู้ที่ปูด้วยทรายดำ แต่อาจจะมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย อันนี้ไม่แน่ใจ

ส่วนค่าน้ำ ผมใช้น้ำประปาผ่านกรองคลอรีน ธรรมดานี่แหละครับ แต่ถ่ายน้ำสม่ำเสมอ ล้างกรองเมื่อดูแล้วสกปรก ส่วนพวกทรีตเมนต์อื่นๆผมยังไม่เคยใส่เลยครับ แต่จะเน้นไปทางอาหารครับ ลงทุนอาหารดีๆหน่อย สลับอาหารสดบ้าง

ถึงแม้ปลาจะเป็นปลาเพาะในบ้านเรา แต่ถ้าเราปรับค่าน้ำให้ใกล้เคียงแหล่งกำเนิดของเค้าจะดีมากนะครับ ปลาเลคนี้เลี้ยงให้รอดไม่ยากครับ (อย่าร้อน + มือหนัก) แต่เลี้ยงสวยมันต้องมีหลายปัจจัย ตรงนี้แหละมันท้าทายและเป้นเสน่ห์ของการเลี้ยงปลาเลยครับ ซึ่งถ้าคุณบรรลุแล้ว จะสนุกและเพลิดเพลินใจมากๆ เช่นตอนมันฮีต อมไข่ สร้างรัง ฯลฯ เหมือนได้ดูโชว์อะไรที่ตระการตามากๆ ^_^

ของผมจะเน้นทำเลที่ตั่งของตู้ปลาให้อากาศถ่ายเทได้ สะดวกให้โดนเเสงเเดดอ่อนๆเเละเรื่องอุณหภูมิของน้ำครับ

เคยเลี้ยงเปลี่ยนอาทิตย์ละ ครั้งก็ได้อยู่ครับ ^_^

ของผมทำตามแบบคุณคอมคุงครับ

ตู้ผมปูปะการังเบอร์ 00 บางๆ เอาไว้ดีด pH
เปลี่ยนน้ำอาทิตย์ละครั้ง 20 - 30% ใช้น้ำประปาที่ผ่านแทงค์เก็บน้ำมาแล้ว
ฝาไม่ใส่ เอาตะแกรงมาปิดแทน แถมพัดลมคอมให้อีกตัว ไม่เกิน 28 องศาแน่นอน

อาหารหลัก ฮิคาริซองดำ นานๆ ก็จะได้กินหนอนแดงแช่แข็ง หรือไรทะเลมั่ง แก้เลี่ยน
วิตามินสำหรับเลคแทง จับฉลากได้ เลยใส่มั่งพอเป็นพิธี (ฮา) แทบทุกครั้งที่เปลี่ยนน้ำ
เพรียงทรายสกัด (อันนี้ลงทุนซื้อนะ) กับ krill แล้วแต่ความขยัน นานๆ นึกได้ทีก็ให้ที

ส่วนผมอยากจะนำเสนอไอเดียให้เอาหลักการดูแลคุณภาพของน้ำจากการเลี้ยงปลาคาร์ฟมาประยุกต์ใช้ในการเลี้ยงปลาหมอด้วยอะครับ เนื่องจากปลาคาร์ฟเป็นปลาที่ต้องการสภาพน้ำที่ดีเยี่ยมในการดำรงชีวิต และให้มีสีสันสวยงาม อาจจต่างกันบ้างในแง่ของคุณสมบัติบางอย่าง เช่น ค่า pH และ ความกระด้างของน้ำ

โดยเราควรจะเน้นที่ระบบกรองแบบชีวภาพ ที่ใช้คุณสมบัติของการย่อยสลายของเสียโดยแบคทีเรียสองกลุ่มหลักๆ ซึ่งจะต้องสร้าง "เมือกชีวภาพ" หรือ Biofilm เป็นที่อาศัยยึดเกาะอยู่ตามพื้นผิวของวัสดุกรอง ยิ่งแบคทีเรียสามารถมีพื้นที่ในการยึดเกาะสร้าง biofilm มากเท่าไหร่ ประสิทธิภาพในการย่อยสลายของเสียให้หมดไปจากน้ำก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

จึงเป็นหลักให้เราเลือกระบบและวัสดุในการกรองน้ำในตู้เลี้ยงมาใช้นั่นเองครับ ที่จริงในระบบกรองของปลาคาร์ฟที่ต่างยอมรับกันว่าสามารถทำให้แบคทีเรียทำงานได้สูงสุดนั้น เขายังคงยกให้ระบบที่ใช้วัสดุกรองแบบเคลื่อนที่ได้ ที่เรียก "Moving bead" ซึ่งทำมาจากวัสดุประเภทพลาสติกชนิดพิเศษ ขึ้นรูปเป็นโครงค่ายซับซ้อนคล้ายแท่งเขาวงกตเพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวให้มากที่สุด ขนาดรูปร่างนั้นอาจเล็กใหญ่แตกต่างกันแล้วแต่บริษัทที่ผลิต แต่โดยส่วนใหญ่ก็จะมีขนาดแต่ละเม็ดประมาณหัวแม่มือ พลาสติกพิเศษนี้จะมีความหนาแน่เฉพาะตัวเมื่อเวลาอยู่ในน้ำ คือจะกึ่งจมกึ่งลอย

ในการใช้งานก็จะใส่เจ้า Moving bead พวกนี้ปริมาณพอควรแล้วแต่ขนาดของระะบบเลี้ยงลงไปในช่องกรอง แล้วก็ใช้แรงเคลื่อนของฟองอากาศจากปั๊มลมดันผ่านให้เจ้าเมล็ดกรองเคลื่อนที่ผ่านมวลน้ำที่มาจากตู้เลี้ยงคล้ายๆ การปั่นผ้าในเครื่องซักผ้า ซึ่งด้วยหลักการแบบนี้ จะทำให้แบคทีเรียที่เกาะอยู่ทั่วพื้นผิวสัมผัสของ Moving bead สามารถทำงานย่อยของเสียในน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ในขณะที่วัสดุกรองประเภทปะการัง หินภูเขาไฟ หรือใยกรองอื่นๆ ไม่สามารถเทียบเท่าได้ในปริมาตรที่เท่าๆ กันครับ

หากใครที่คิดจะทำตู้กรองล่าง หรือช่องกรองข้างที่จะเลี้ยงปลาหมอสี ให้สามารถรองรับกับการใช้ระบบ Moving bead ที่ว่านี้ได้ ก็จะช่วยรักษาคุณภาพน้ำในตู้เลี้ยงได้อย่างดีเยี่ยมครับ